วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตกับการเดินทาง...ของการทำงาน

การเดินทางที่เริ่มต้นผิดพราด...บทที่ 1

ผ่านมาเกือบ 20 ปีเเระ เผลอแป๊ปเดียวเอง นะเนี่ยะ
มันเริ่มต้นตรงใหนหนอ
อ้อ ..... มันถูกเริ่มต้นเมื่อปีที่เค้าเรียกว่า พฤษภาทมิฬนั่นเอง

จากจุดตรงนี้

อยากจะพูดเพียงว่าชีวิตไม่ได้โรยด้วยดอกกุหราบตลอดเวลา จากประสบการณ์ ที่ผ่านมา มีทั้งล้มลุกคุกคลานมาตลอด แต่ต้องมีเป้าหมาที่แท้จริงของวิตว่าเราต้องการอะไรกันแน่ เช่นกันกับชีวิตการทำงานของผู้เขียนเอง มันล้ม แล้วลุก แล้วล้ม แล้วลุก มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่คราว แต่ผู้เขียนเองเห็นว่ามันต้องอดทนนั่นแหละเป้าหมาย

ปี 35 จำได้ว่า เป็นปีที่มีการรัฐประหาร ในสมัยของพล.อ. สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องที่จะนำมาแชร์กันไม่ใช่เรื่อง การปฏิวัติ แต่เป็นความบังเอิญของชีวิต ที่เพิ่งออกจากสถาบันการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานเกือบ 7 ปีกับสถาบันการศึกษาที่เป็น มหาวิทยาลัยเปิด อันมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศไทยนามไกลว่า ราคำแหงว่าเข้าไปนั่น อ๊ะๆ มันเรื่องจริงนะห้ามเถียง เพราะ มหาวิทยาลัยเปิด ที่มีชื่อที่สุดในประเทศอ่ะที่ใหน ย้ำนะ มหวิทยาลัยเปิด นะต้องบอกกันก่อนนะ ทำไมถึง 7 ปีกว่า ไม่ 7 ปีได้ไงครับ เก็บ 120 หน่วยได้ตั้งแต่ปี 2 เลยออกไปฝึกงาน ตามหลักสูตร 200 ชั่วโมง ติดใจครับพี่น้อง เลยทำงานต่อซะเลย นั่นแหละการเริ่มต้นที่ไม่ตั้งใจเรียน ริไปทำงานก่อนจบ แต่นี่ยังไม่เด็ดเท่า เรียน บัญชีต้นทุน 1 (AC-301) ในสมัยนั้น โหยครับพี่น้อง วิชาเดียวเรียนไป 2 ปีกว่า เกือบ 3 ปี ทั้งสอบทั้งซ่อม ก็ยังไม่จบเลย
อ่ะ นอกเรื่องไปเยอะแระ เข้าเรื่องต่อเลยแระกัน

ปี 34 เดือน ธันวาคม ปลายปี ได้ไปสมัครงานกับ บริษัทแห่งนี้ ในตำแหน่ง พนักงานบัญชี แล้วเค้าก็รับเข้าไปทำงาน เงินเดือนที่เริ่มต้นก็ไม่ถึงหมื่นหรอกนะ แต่อยากทำ บริษัทเค้าก็ใจดี มีห้องพักให้ เป็นห้องแอร์นะ แต่อยู่รวมกันสองคน เป็นคนของแผนกบุคคลที่เข้ามาทำงานวันเดียวกัน ขอสมมุติชื่อจริงเค้าว่า ชื่อ คุณวิทยา เค้ามีใบหน้าอันหล่อเหลาพอสมควร (ยังจะไม่เล่าต่อ เอาเรื่องของผู้เขียนก่อน) เข้สพักห้องเดียวกัน ผู้เขียนเองเลือกเตียงที่อยู่ไกล้แอร์ที่สุดเพราะขี้ร้อน แต่จะมีฉากกั้นระหว่าเตียง ก็ดีเป็นส่วนตัวนิดนึงแหระนะ
<การทำงานวันแรก> เข้าไปที่แผนกก็รู้สึกตื่นเต้นดีหว่ะ แต่ไม่เท่าไดหรอกเพราะเราก็เคยทำงานมาบ้างเหมือนกันไม่ใช่มือใหม่ซะทีเดียวนะ แต่เราก็มีข้อด้อยอยู่หลายประการ
1. คอมพิวเตอร์เหรอ ไม่คล่องครับ นี่บอกตั้งแต่วันสมัครแล้ว

2. โปรแกรม WORD, LOTUS 123, D-BASE ไม่เป็นครับ นี่บอกตั้งแต่สมัครเหมือนกันจำได้ว่าเข้าไปใหม่ๆ มีพี่คนหนึ่ง ชื่อพี่หงุ่น แกดูยุ่งแต่เข้า ไม่รู้แกยุ่งอะไรของแก หน้าตางี้ โหยหงิกเชียว จากประวัติแกใช่ย่อยตอนนั้น พี่แกพึ่งเลิกกะสามีใหม่ๆ (เสือกไปรู้เรื่องเค้าอีก) แต่แกก็ยังคิดว่าแกแน่ ดูสวย อื้อ ก็หน่ะพอดูได้ แต่แกไม่ใช่สเปคเรา เพราะผิวแกสีเข้มไปนิดนึง แต่แกไม่ใช่หัวหน้าเรานะ ยั้ง..ยังไม่ถึงหัวหน้าจริง
เข้าไปใหม่ๆงานแรกที่แกให้ช่วยคือ “เอ้ย...ณัฐ(สมมุติชื่อตัวเองนะ) มานี่ซิ เอาจดหมายนี่ไปพิมพ์หน่อยสิ” โหยแม่เจ้าพิมพ์จดหมาย...งานหินกูเลยนะนั่น จะปฏิเสธได้เหรอ เด็กใหม่นี่ ก็เลยแกล้งแยบแกว่า “พี่รีบป่าวครับ ผมพิมพ์ไม่คล่องนะ” แกก็บอกว่า “ไม่รีบ ให้ไปพิมพ์มาลายมือกูก็อ่านไม่ออก จะถามก็ไม่กล้าต้องนั่งแกะเองเกิดมากูไม่เคยพิมพ์จดหมาราชการ หรือเป็นการเป็นงานกูจะถามใครวะ มองซ้ายมองขวา แม่งยุ่งกันหมด เอาวะ ตามแบบที่กูเป็นแระกัน เมริงเขียนมายังไง กูก็จะพิมพ์อย่างนั้น แม่เจ้า นั่งพิมพ์ นั่งแกะ อยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง งานก็เสร็จ เอาไปนำเสนอให้พี่เค้าดู แบบนี้
***********************************************************************
บริษัท ฮิตาชิ อินาเมลไวน์ ประเทศไทย จำกัดวันที่
22 มกราคม 2535

เรียน ผู้อำนวยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จังหวัด ฉะเชิงเทรา

เรื่องขอความกรุณาผ่อนชำระค่าไฟฟ้าล่าช้า

อ้างถึง ใบแจ้งหนี้เลขที่ 1234567 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2534

ด้วยบริษัท ถูกน้ำท่วม และได้ปิดโรงงานในช่วงวันถึงกำหนดจ่ายค่าไฟฟ้าวันที่ 15 มกราคม 2535 จึงไม่สามารถจ่ายค่าไฟฟ้าได้ตามกำหนดระยะเวลาได้ จึงเรียนขอให้ผู้อำนวยการผ่อนผันค่าปรับที่ชำระล่าช้าให้ด้วยจึงเรียนมาเพื่อขอผ่อนผันดังกล่าว

นางสาวอมรรัตน์ เพชรคุ้ม

ผู้จัดการฝ่ายบัญชีการเงิน

บริษัท ฮิตาชิ อินาเมลไวน์ ประเทศไทย จำกัด

***********************************************************************

นำเสนอไป จากที่เธอยุ่งๆหน้านิ่วคิ้วขมวด อยู่ตอนนั้น ไม่รู้ว่า ผีบริษัท ข้างๆเข้าสิงหล่อนหรือป่าวไม่ทราบ หล่อนนำจดหมายดังกล่าว ไปให้ พี่ตั๊กผู้จัดการบัญชีดู แล้วทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องให้ หันควั๊บมาทางที่เรานั่งอยู่แล้วพ่นออกมา“จบมาจากที่ใหน ไม่มีใครสั่งสอนมาหรือไง ทำไมทำจดหมายแบบนี้”ไอ้เราก็ งงๆ ถามไปว่า “ครับ ผมแกะลายมือ พี่ตั้งนานนะครับผมอ่านลายมือพี่ไม่ค่อยออกเลยครับ มีอะไรผิดเหรอครับ”ด้วยความซื่อ (โง่..บรม) นิดๆ ของเราเธอผู้ที่กำลังโดนผีบริษัทข้างๆ เข้าสิงเธอ กรี๊ดลั่นออฟฟิต พร้อมพูดว่า“ต่อไปจะไม่ให้งานทำอีกแระ ทำอย่างงี้ ได้ไงอ่ะ ให้งานชิ้นแรกก็เละ ซะแระ”แม่เจ้า กูพึ่งรู้ว่า ไอ้จดหมายที่ กูพยายามนั่งทำตั้ง 2 ชั่วโมงที่แล้ว เมริงเขียนมายังไง กูก็พิมพ์อย่างนั้น มันไม่ใช่รูปแบบจดหมายทางการ ซึ่งจดหมายทางการต้องพร่ำรำพัน ถึงความผิดพราดเพื่อให้ราชการเห็นใจอนุมัติ การจ่ายเงินล่าช้ามันต้องมีรูปแบบตัวมันเอง“แล้วทำไม เมริงไม่เอาของเก่าให้กูดูวะ กูจะได้พิมพ์ตามที่เมริงมีอยู่แล้ว กูจะไปรู้เหรอว่าต้องพิมพ์แบบใหน ขึ้นต้นลงท้ายยังไง กูเรียนบัญชีนะโว๊ย กูไม่ได้เรียนเลขามานี่หว่า” แฮ่....แฮ่... แค่คิดครับ ไม่ได้พูดออกไปนะ ไม่กล้าพูดเพราะ หากแกกรี๊ดดังกว่านี้ กูได้ออก จากโรงงานนี้วันแรกเลแหระความเป็นจริง ก็พึ่งจะรู้วันต่อๆมาว่า คนที่เรียนบัญชี จะต้องเก่งเรื่องการเขียนจดหมายด้วยเพราะจะต้องติดต่อกับหน่วยงานราชการ รวมถึง สรรพากร ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ล้วนแต่มีเอกลักษณ์ รูปแบบจดหมาเฉพาะตัว ดังนั้นนักบัญชี จะต้องเขียนจดหมายเป็น “เอ่อ.....ทำไมกูไม่รู้ก่อนวะ ตอนเรียนก็เสือกเรียนแต่ เดรบิต เครดิด หรือไม่ก็การคำนวนต้นทุนสินค้าที่ขาย เพียงอย่างเดียว ทำไมผู้มีประสบการณ์ ทั้งหลายไม่บรรจุหลักสูตรการเขียนจดหมายเข้าไปในหลักสูตรการเรียนวะ (แต่เทาที่ทราบหากใครเรียน ปวช. ปวส. เค้ามีเรียน ใชเปล่าครับ) ปล่อยให้กูโดนด่าก่อน หรือไง” หลังจากที่พี่หงุ่นแกทำอะไรผมไม่ได้ เหตุเกิดจากความซื่อ (โง่..บรม) ของผม เธอก็จบไปแบบหน้างอๆ และถามอะไรก็ไม่พูดเป็นเดือ แม่งโคตอึดอัดใจเลยอะ กูเด็กใหม่นะโว๊ย ไม่มีประสบการช่ำชอง อย่างพวกเมริง นี้หว่าวันต่อมา พี่หมวย (นั่นเริ่มมีตัวละครเพิ่มอีกแระ) แกก็โยนเอกสารกองเบ้อเร่อ พร้อมกับสมุดบัญชี 3 ช่อง (ที่เราเคยเห็นตอนเรียน) แหมะที่โต๊ะผม และบอกว่า “ณัฐ นี่งานประจำของคุณนะ”เธอพูดอยู่แค่นั้น แล้วเธอก็เปิดตูดแน๊บ ไม่พูไม่จาอะไรด้วยความงุนงง ก็กรีดเอกสารออกดู มันเป็น ใบส่งของ/ใบกำกับภาษี หรือ ที่เค้าเรียกว่า “DELIVERY NOTE / TAX INVOICE” นั่นเอง (วันที่ 1 มกราคม 2535 เริ่มใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นปีแรก) แล้วก็พรึมพรำกะตัวเองว่า จะให้กูทำอะไรวะ ตัวอย่างก็ไม่มีดูอีกแระ เพราะเป็นงานใหม่ ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ก็ยังดี ที่มีผู้ใจดีลงมาก่อนประมาณ 3-4 บรรทัด เอาวะ กูก็ตามตามตัวอย่างข้างบนนั่นแหละ ทำเลยไม่ถามอะไรทั้งนั้น ขั้นตอนแรก กูก็ไล่ลงเลขที่เลยครับ รันไปเรื่อยๆ เพราะสังเกต ดูว่าไอ้เลขที่มันรัน กันไปเรื่อยๆ จากเอกสาร รันไปได้ 2 หน้า ล่วงหน้า และก็ไม่ถามใคร เริ่มลงบันทัดแรกเลยครับ


****บันทึกรายงานภาษีขาย****


ลงได้แค่นี้ พี่หมวยก็ แว๊ก มาทางด้านหลังอีก “เอกสารที่ส่งให้ นั้นหน่ะ ทำยังไงกะมันอ่ะ”

คำพูดน่าจะทำมะดา หากพูดด้วยความจริงใจ แต่น้ำเสียงที่พี่หมวยพูด ฮึ.....อย่าให้เซดเลยครับ แม่งฟังดู เหมือนกะจะแดก กูอย่างงั้นเลย

“ผมก็ทำอย่างตัวอย่าง 2 บันทัดบนอ่ะครับพี่”

ผมหมุนเก้าอี้ไปข้างหลัง พร้อมอธิบบายวิธีทำ “แล้วรู้แล้วหรือ ว่านั่นคืออะไร”

เธอตาเขียว เอียงคอนิดๆ ตามไสตร์ คนจีนตัวอ้วนๆ กำลังดุเด็กที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไดนัก ไอ้เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กูไปด่าบุพการี ยัยหมวยนี่ตั้งแต่ชาติปางใหน แต่ชั่งมันเหอะ เราคงด่าจริงในชาติก่อน ชาตินี้เลยมาทำงานรับใช้มัน

“ก็นี่มัน ใบส่งของครับพี่ ลงรายวัน.......” กูยังพูดไม่จบ

“แล้วทำไงต่อ” แกสวนแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวเลย

“ก็ลงรายวันขายอ่ะครับพี่”“แล้วไง” อีกรอบแระครับ

“ก็ทำเหมือน เดรบิต ลูกหนี้ เครดิตขายอ่ะครับ แล้วสิ้นเดือน ก็สรุปรายงานการให้พี่ใช่ใหมครับ” ขอตอบแบบเรียบ พร้อมกับทำหน้าซื่อๆ เจี๋ยมเจี้ยม อีกรอบ

“แล้วรู้แล้วหรึว่าขายอะไร “ นั่นกูโดนอีกดอกนึงแระ

“ทำงานบัญชีอ่ะ ไม่ใช่สักแต่นั่งทำอยู่กะโต๊ะนะ ต้องรู้ก่อนว่า บริษัทเรามีสินค้ากี่ประเภท และแบ่งงานขายออกเป็นยังไงบ้าง ควรจะลงสมุดยังไง ที่พี่โกรธเนี่ยะ ไม่ใช่ว่าลงผิดนะ แต่ทำไม ไม่ถามก่อน”

โอ๊ย แม่เจ้า...... ทำไม เมริงไม่บอกกูหล่ะ.... ทำไมให้กูถาม..... กูเด็กใหม่นะโว๊ยย..... มีอะไรทำไมไม่บอกกูวะ กูจะไปรู้ได้ไงว่า กูจะถามเรื่องอะไรก่อนหลัง กูถามไปเมริงก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องของพนักงานบัญชีจะต้องรู้ นั่นแหละที่พวกเมริงทำ“พอเล่ามาถึงตรงนี้ นะน้องใหม่ทั้งหลายจำไว้ว่า วันแรกของการทำงานในปัจจุบันจะต้องมีการอบรม ให้รู้จักสินค้า หรือ ขบวนการผลิตในองคืกรก่อน แต่สมัยก่อนมันไม่มีครับ ให้โดนด่ากันเอาเอง”ในขณะที่แกกำลังสอน (แต่เท่าที่ผมฟังมันเหมือนด่า ๆๆๆๆๆ) ผมอยู่นั้นผมไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า พี่ตั๊ก (ผู้จัดการบัญชีการเงิน) เค้ามองอยู่ ผมมารู้ทีหลัง เพราะมีคนมากระซิบผมอีกที แกร่ายยาวประมาณ 1 ชั่วโมง จับใจความได้ว่า

1. ใบกำกับสินค้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

1.1 ใบกำกับสินค้า ปกติ

1.2 ใบกำกับสินค้าขายต่างประเทศ

1.3 ใบกำกับสินค้าสำหรับเศษวัสดุเหลือใช้

1.4 ใบกำกับสินค้าที่อยู่ในคลังทัณฑ์บน

2. สินค้าที่ขายให้ไปถามฝ่ายขายเอาเอง

3. ราคาให้ไปถามฝ่ายขายเอาเอง

4.วิธีการผลิตให้ไปถามฝ่ายผลิตเอาเอง


อ่าว...แล้วจะมาสอนกูทำ....สากกระเบือ อะไรวะ ร่ายซะ 1 ชั่วโมง เมริงว่างมาก หรึ ไงวะ!.. เพราะสรุปแล้วกูรู้แต่ชนิดของ ใบกำกับสินค้าอย่างเดียวหน่ะอย่างน้อยก็ได้ความรู้อีกอย่างแหละวะ รับเอาไว้ก่อน แต่เราเริ่มอาการเบื่อ อึดอัดเป็นครั้งแรกเลย หล่ะนอกเหนือจากนั้น จะหยิบ จะจับอะไรก็มีคนเริ่มมองแระ เราไม่ได้คิดไปเอง เพราะพี่ตั๊กเองก็ยังเคยเรียกเราเข้าไปคุยหลายครั้งว่า

“ทำไมณัฐถึงไม่ถามพี่เค้าก่อนทำอะไร.” หากพูดอย่างนี้แล้ว ผมสามารถพูดได้ใหมครับว่า

“พี่ครับ...ผมถามพี่ๆเค้าแล้ว แต่เค้าไม่บอกอะไรผมเลย เค้าบอกว่า ยุ่งๆๆๆๆๆๆๆ”

ผมพูดได้ใหม เพราะการที่พี่ตั๊กเรียกผมพูด นั่นแปล่า เค้ารู้เรื่องผมหมดแล้ว จากพวกพี่ๆ ที่เป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ (Supper Visor) ของผม พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ตอนนั้นผมคิดเพียงว่า ทำไมจะต้องมาจงเกลียดจงชังผมด้วย ในเมื่อมอบหมายงานให้ผมทำแล้ว ทำไม ไม่ปล่อยให้เราทำให้จบ แต่นั่นแหละครับ เราเองใช่ว่าจะดีเด่อะไรนักหนา เราทำงานผิดหลายครั้งมาก คอยพะวง เรื่องการถูกมอง คอยพะวงว่าจะผิด ทำให้เราลงตัวเลขในสมุดผิดเยอะมาก พยายามตรวจสอบแล้ว หาวิธีป้องกันก็แล้ว แต่ก็ยังผิดอยู่อีก หาวิธีการทำงานด้วยตัวเองหลายวิธี แต่สิ่งที่ได้คือผิด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ร่ำไป แต่ดีที่เร็วเท่านั้นเองเลยมีเวลาตรวจเยอะหน่อย เคยลองทำช้าดู แต่เวลาการตรวจสอบไม่มียิ่ง แย่ไปใหญ่ ไม่ดีเลย แต่หากทำเร็ว วันที่ 30 เย็นก็เสร็จ และ อยู่หลังเวลางานสักนิด เพื่อตรวจสอบรายการที่ผิด และทำการแก้ไข อย่างนี้ ได้ แต่ความผิดแบบนี้ ไม่วายโดนอีก วันนึงพี่ตั๊ก เค้าขอดูรายงานยอดขาย อยู่ช่วงระหว่างเดือนซึ่งเรายังไม่ได้ตรวจสอบอะไร แต่เท่าที่ทราบหน่ะ มันผิดอยู่แล้ว ข้อเสียของเราคือ ทำอะไรต้องทำให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น หรือลงใบกำกับให้ครบทั้งเดือนก่อน จึงจะตรวจสอบได้ผมเคยคิดว่า จะทำแบบฟร์อม ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ และใช้วิธีคีย์ลงไป ด้วยระบบ LOTUS 123

“ทำไมไม่ลงในสมุด มาลงคอมพิวเตอร์ทำไม” ผิดอีกกูนี่พูดเฉพาะงานเดียวนะครับ

อึดอัดสุดยอดเลย ลายมือเรา ยังกะไก่เขี่ย ยังให้ลงสมุดอีก
แต่มีงานที่ชอบและยังนำประสบการณ์นั้นมาใช้จนถึงปัจจุบัน ก็คือเรื่องของการรายงานค่าใช้จ่ายประจำแผนก (นั่นไงอย่างน้อยก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ได้วะ)มันมีประโยชน์มาก เพราะการทำจุดนี้ คือการรายงานให้แต่ละแผนกทราบว่า เดือนที่ผ่านมาเค้าใช้เงินไปเท่าได ประกอบด้วยรายการอะไรบ้างบ้าง กี่หน่วยที่ใช้ ราคาต่อหน่วยเท่าได ซึ่งสามารถวางแผนในอนาคตว่า จะประหยัดได้อีกใหมใหม เรื่องนี้ก็อีกเรื่องที่โดนด่าโดยความไม่รู้ คือ เห็นบิลเรื่อง ค่าอาบอบนวดของคนญี่ปุ่น ซึ่งในบิลก็เขียนว่า รับรอง Mr. Ube โอเช เคยไปถามพี่หมวย กะพี่หงุ่น เหมือนกันว่า รายการแบบนี้ลงยังไง แต่คำตอบก็คือ “บิลอย่างนี้เป็นอะไร คิดเองสิ” โอเค คิดเองก็ได้วะ เลยจัดการลงบัญชี เดบิต ค่ารับรอง เครดิต เงินสดนั่นตามหลักการบัญชีเด๊ะ เลยผิดอีกกู
หลายยกเลย “ทำไมไม่ลงค่าใช้จ่ายต้องห้าม ไม่รู้เหรอว่า รายการแบบนี้ มันเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามตามประมวลรัฐฏากร....” หากเป็นปัจจุบัน ลงอย่างนั้นแล้ว Reclassify จากบัญชี ค่ารับรอง ไปเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามเองตอนสิ้นงวดมิได้หรือ ทำไมจะต้องลงค่าใช้จ่ายต้องห้ามเลยตั้งแต่ครั้งแรก เพราะตอนรายงานค่าใช้จ่ายประจำแผนก เค้าจะได้รู้ว่า ในแผนกเค้าเองมี ค่ารับรองอยู่เท่าได ซึ่งหากลงบัญชีค่าใช้จ่ายต้องห้ามเค้าจะรู้เหรอว่า เป็นหัวข้อ หรือ หัวบัญชีอะไร ซึ่งตอนทำงบประมาณ เค้าไม่เคยตั้งรายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายต้องห้ามอยู่แล้ว และหากเปรียบเทียบกับงบประมาณ ก็มแต่เกิน กะเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โอเค ผิดก็ผิดวะกู แก้ไขใหม่
ทนโดนด่าอย่างนี้ ทุกวัน จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์ เป็นเดือน ทนได้ 4 เดือนเต็มๆ เกินอีกนิดหน่อย นั่นคืออยากพิสูจน์ว่า กูจะผ่านโปรเบชั่นใหมวะจนวันผ่านไป 120 วันครบโปรเบชั่น มันก็ไม่ไล่กูออก และไม่มีใบเซ็นว่า ต่อโปรกู แสดงว่า กูผ่านโปรเบชั่นแระ เคยนั่งร้องให้ด้วย